[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by ATOMYMAXSITE 2.5
โรงพยาบาลหัวไทร : Huasai Hospital
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป  
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
ผู้อำนวยการโรงพยาบาล


นายแพทย์ยุทธพงศ์ ณ นคร

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวไทร

เมนูหลัก
ระบบออนไลน์
ITA โรงพยาบาลหัวไทร

หน่วยงานภายใน
เครือข่ายโรงพยาบาล
เครือข่าย รพ.สต.
พจนานุกรมทางการแพทย์
เวปไซต์ทางการแพทย์

  

  หมวดหมู่ : ทั่วๆไป
เรื่อง : เตรียมตัวสอบอย่างไรไม่ให้สมองล้าและเครียดสะสม
blog name : mylovestory
ระดับ : [ มือใหม่ ]
เข้าชม : 16
พฤหัสบดี ที่ 6 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ปักหมุดและแบ่งปัน
    

การสอบเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับนักเรียนและนักศึกษาทุกคน เพราะเป็นโอกาสในการวัดผลความรู้และความเข้าใจในบทเรียนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเตรียมตัวสอบที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ความเครียดสะสมและอาการสมองล้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้และสุขภาพโดยรวม ดังนั้น การเตรียมตัวสอบอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราทำข้อสอบได้ดีโดยไม่เสียสุขภาพกายและจิตใจ การอ่านหนังสือแบบเร่งรีบในช่วงใกล้สอบ (หรือที่เรียกกันว่า "โต้รุ่ง") เป็นวิธีที่ทำให้สมองล้าและเพิ่มระดับความเครียดอย่างมาก วิธีที่ดีกว่าคือการวางแผนการอ่านล่วงหน้า สร้างตารางการอ่าน กำหนดช่วงเวลาอ่านหนังสือในแต่ละวัน แบ่งเนื้อหาเป็นส่วน ๆ เพื่อให้สามารถอ่านและทบทวนได้ครบถ้วน จัดลำดับความสำคัญ เริ่มจากเนื้อหาที่ยากหรือที่ยังไม่เข้าใจก่อน แล้วค่อยทบทวนเนื้อหาที่คุ้นเคย ทบทวนเป็นระยะ การทบทวนซ้ำ ๆ จะช่วยให้สมองจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น แทนที่จะอ่านทั้งหมดในครั้งเดียว การอ่านหนังสือแบบท่องจำอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เทคนิค Pomodoro อ่านหนังสือ 25-50 นาที แล้วพัก 5-10 นาที วิธีนี้ช่วยให้สมองไม่ล้าเร็วเกินไป
การสรุปเนื้อหาด้วยตนเอง การจดโน้ตย่อหรือสร้างแผนผังความคิด (Mind Map) ทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น การอธิบายให้ผู้อื่นฟัง เมื่อเราสามารถอธิบายเนื้อหาให้คนอื่นเข้าใจได้ แสดงว่าเราเข้าใจเนื้อหานั้นดีพอ การทำแบบฝึกหัดและข้อสอบเก่า อย่างขอสอบ igcse Thailand ช่วยให้คุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบและทบทวนจุดที่ยังไม่เข้าใจ การนอนดึกเพราะอ่านหนังสืออาจทำให้สมองล้าและความสามารถในการจดจำลดลง การพักผ่อนอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก นอนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้สมองมีเวลาฟื้นฟูและเก็บข้อมูลที่เรียนรู้มาในระหว่างวัน งีบสั้น ๆ ระหว่างวัน (10-20 นาที) สามารถช่วยให้สมองสดชื่นและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือบนเตียง เพราะอาจทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่ายังต้องทำงาน และส่งผลให้นอนไม่หลับ การออกกำลังกายไม่เพียงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นโดยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน วิ่ง หรือโยคะ ช่วยลดความเครียดและทำให้มีสมาธิดีขึ้น การทำสมาธิหรือฝึกการหายใจลึก ๆ ช่วยลดระดับความเครียดและทำให้จิตใจสงบขึ้น ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ฟังเพลง วาดภาพ หรือเล่นดนตรี เพื่อให้สมองได้พักจากการเรียน อาหารมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมองและระดับพลังงานในร่างกาย ควรเลือกอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสมาธิและความจำ ไม่ว่าจะเป็น  โปรตีน โอเมก้า-3 จากปลาแซลมอน มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ผักและผลไม้ ดื่มน้ำให้เพียงพอ สมองต้องการน้ำเพื่อทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป เพราะอาจทำให้กระสับกระส่ายและนอนไม่หลับ การเข้าสอบด้วยความเครียดมากเกินไปอาจส่งผลให้ทำข้อสอบได้ไม่ดี ควรฝึกแนวคิดเชิงบวกและเตรียมจิตใจให้พร้อม ไม่กดดันตัวเองเกินไป มองว่าการสอบเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินคุณค่าของเรา


Not Rated stars เฉลี่ย : Not Rated จาก 0 ครั้ง.
รายละเอียดผู้เขียนบทความ blog
blog name :
เจ้าของ blog :
อาชีพ :
สถานที่ทำงาน :
จำนวนบทความใน blog :
ระดับของ blog :
mylovestory
นฤมล ศรีอุ้มสุข
------------

31 เรื่อง
[ มือเก่า ]

ทั่วๆไป 5 อันดับล่าสุด

      เพราะการมีสุขภาพที่ดีเหมือนดั่งพรอันประเสริฐ 25/มี.ค./2568
      ทำไมพ่อแม่สมัยใหม่ถึงลงทุนเต็มที่ในการส่งลูกเรียนนานาชาติ 14/มี.ค./2568
      เมื่อเด็กปิดเทอม พ่อแม่จะเตรียมอาหารไว้อย่างเต็มที่ 6/มี.ค./2568
      เมื่อเราขยันและตั้งใจเรียน สิ่งที่ได้รับกลับมาคือทุนการศึกษา 5/มี.ค./2568
      ส่งเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ในแม่ที่อายุมาก 27/ก.พ./2568