[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by ATOMYMAXSITE 2.5
โรงพยาบาลหัวไทร : Huasai Hospital
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป  
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
ผู้อำนวยการโรงพยาบาล


นายแพทย์ยุทธพงศ์ ณ นคร

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวไทร

เมนูหลัก
ระบบออนไลน์
ITA โรงพยาบาลหัวไทร

หน่วยงานภายใน
เครือข่ายโรงพยาบาล
เครือข่าย รพ.สต.
พจนานุกรมทางการแพทย์
เวปไซต์ทางการแพทย์


  

   เว็บบอร์ด >> >>
ประวัติ เควิน เดอ บรอยน์ เสาหลักของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้  VIEW : 103    
โดย หยาด

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 185
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 10
Exp : 100%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 125.25.50.xxx

 
เมื่อ : ศุกร์์ ที่ 30 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2566 เวลา 15:48:44    ปักหมุดและแบ่งปัน

ประวัติ เควิน เดอ บรอยน์ เสาหลักสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ประวัติและข้อมูลล่าสุดของ เควิน เดอ บรอยน์ ดาวเตะทีมชาติเบลเยียม ที่ว่ากันว่าเขาคือกองกลางที่มีความครบเครื่องที่สุดในโลก และเป็นนักเตะคนสำคัญของ แมนฯ ซิตี้ ที่ทีมจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว

เปิดประวัติ เควิน

ชื่อเต็ม : เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin De Bruyne)
เกิด : วันที่ 28 มิถุนายน 1991 (ดรอนเก้น ประเทศเบลเยียม)
อายุ : 29 ปี
ตำแหน่ง : กองกลาง
ส่วนสูง : 181 เซนติเมตร

เส้นทางลูกหนังของ เควิน

เส้นทางสายลูกหนังของ เจ้าหนูเดอ บรอยน์ เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศบ้านเกิด โดยเขาได้เข้าไปฝึกวิชาที่แรกกับ กาเฟเฟ่ ดรอนเก้น ในปี 1997 ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เคเอเอ เกนท์ ในปี 1999 เขาอยู่ที่นานถึง 6 ปี ก่อนที่ ในปี 2005 เขาจะโยกย้ายไปเล่นในระดับเยาวชนให้กับ เคอาร์ซี เกงค์ ที่นี่เองที่เจ้าตัวพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างมาก ตั้งแต่การเล่นเยาวชน ขยับขึ้นมาเป็นตัวสำรอง จนสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้
ในฤดูกาล 2010-2011 ถือเป็นปีไฮไลท์ของ เดอ บรอยน์ กับ เกงค์ เลยก็ว่าได้ เมื่อเจ้าตัวระเบิดฟอร์มการเล่นได้อย่างร้อนแรง พาทีมเดินหน้าเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น จนในท้ายที่สุดทีมก็สามารถคว้าแชมป์เบลเยียมโปรลีก ได้สำเร็จ

เดอ บรอยน์ อยู่ค้าแข้งกับ เกงค์ มาอีก 1 ฤดูกาล และก็ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม จนฟอร์มการเล่นไปเข้าตาทีมงานของ เชลซี ยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก ทำให้เขาถูกทาบทามตัวมาร่วมทีม และเมื่อถึงวันที่ 31 มกราคม ปี 2012 เขาก็ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญาย้ายมาเป็นนักเตะใหม่ของ ทัพ “สิงห์บลูส์” ด้วยค่าตัว 6.7 ล้านปอนด์ และสัญญายาวถึงห้าปีครึ่ง ทว่าเขายังไม่ได้ย้ายมาทันที ยังอยู่เล่นช่วย เกงค์ จนจบฤดูกาล 2011-2012 ต่อไป
หลังจากจบ ฤดูกาล 2011-2012 แล้ว เดอ บรอยน์ ได้ย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ให้กับ เชลซี แบบเต็มตัว และเขาก็ได้ลงประเดิมสนามเปิดตัวกับทีมใหม่ ในเกมกระชับมิตร ที่ทีมลงดวลกับ ซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ส ทีมในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา แล้วสามารถเอาชนะไปได้ 4-2 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2012 นั่นเอง

เนื่องจากในเวลานั้น เดอ บรอยน์ ยังเป็นแค่เพียงแข้งดาวรุ่ง และแผงกองกลางของ เชลซี ยังอัดแน่นไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ ทำให้เขาโดนปล่อยตัวไปให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ทีมในบุนเดสลีกา ยืมตัวไปใช้งาน ในฤดูกาล 2012-13 ซึ่งการย้ายมาเล่นที่ เบรเมน ครั้งนี้ เขาก็โชว์ฟอร์มการเล่นได้แบบสุดยอดอย่างมาก กลายเป็นตัวหลักของทีมที่จะขาดไม่ได้เลย และสามารถยิงได้ถึง 10 ประตู อีก 10 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 34 นัด และคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา อีกด้วย

หลังจากไปโชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมในบุนเดสลีกา เดอ บรอยน์ ก็ได้กลับมาที่ เชลซี อีกครั้ง และหวังที่จะกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงให้ได้ ทว่าทุกอย่างก็ไม่เป็นดังหวัง เมื่อเจ้าตัวยังเป็นตัวสำรองของทีม ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนาม จาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เวลานั้นเป็นกุนซือของทีม เนื่องจากเบียดแผงมิดฟิลด์ตัวรุกอันแข็งแกร่งที่มีทั้ง ฆวน มาต้า, เอแดน อาซาร์, อันเดร เชือร์เล่, วิลเลี่ยน และ ออสการ์ ขึ้นไปเป็นตัวจริงไม่ไหว ทำให้ได้ลงสนามเพียง 9 นัดเท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นเกมลีกคัพ หรือถ้าได้ลงในลีก ก็จะเป็นท้ายเกมแล้วเท่านั้น
และในที่สุดในเดือนมกราคม ปี 2014 ทาง “สิงห์บลูส์” ก็ได้อนุญาตให้ ดาวเตะเบลเยียมสามารถย้ายทีมได้ ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจกลับไปที่ บุนเดสลีกา อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาขอไปเริ่มต้นกับ โวล์ฟสบวร์ก ทีมลูกหนังที่กำลังมาแรงอย่างมากในช่วงเวลานั้น ซึ่งขอซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์

การย้ายมาเล่นให้กับ โวล์ฟสบวร์ก เขามาพร้อมกับความมุ่งมั่น และแรงขับดันที่อยากจะโชว์ให้ทุกคนให้เห็นว่าเขาสามารถเล่นได้ และดีพอที่จะเป็นตัวจริงของทีมได้ และที่นี่ก็เหมือนกับเป็นสถานที่ ที่สร้างให้เขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง

เจ้าหนุ่ม “เคดีบี” ระเบิดฟอร์มการเล่นได้แบบยอดเยี่ยม เขาแปลงร่างจากกองกลางธรรมดา กลายเป็นจอมทัพที่จ่ายบอลได้อย่างเฉียบขาด บัญชาเกมแดนกลางของทีมได้อย่างสุดยอด และในเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2013-14 เดอ บรอยน์ ก็ช่วยให้ โวล์ฟสบวร์ก จบอันดับ 5 ของบุนเดสลีกา พร้อมกับเข้ารอบรองชนะเลิศบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล อีกต่างหาก
แต่ความสุดยอด และฝีเท้าระดับเทพ อย่างแท้จริง มันมาเกิดขึ้นใน ฤดูกาล 2014-15 เมื่อเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างเปล่งประกายตั้งแต่ต้นซีซั่น ยาวไปจนถึงนัดสุดท้าย จนสามารถพาต้นสังกัดผงาดขึ้นไปเป็นรองแชมป์บุนเดสลีกา ได้อย่างสุดเซอร์ไพรส์ เป็นรองแค่ บาเยิร์น มิวนิค เท่านั้น

แค่นั้นยังยอดเยี่ยมไม่พอ เดอ บรอยน์ ยังพาทีมทุบเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในนัดชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล คว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยในเกมนั้น เขายังยิงสามารถยิงประตูได้ด้วย

นอกจากถ้วยรางวัลแล้ว ในฤดูกาลดังกล่าว กองกลางชาวเบลเยียม ยังสามารถแอสซิสต์ได้มากถึง 21 ครั้ง ซึ่งเป็นการทำลายสถิติของบุนเดสลีกา เลยทีเดียว จนเมื่อจบซีซั่นเขาก็ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา, ติดทีมยอดเยี่ยมบุนเดสลีกา รวมทั้งยังได้ตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมัน อีกด้วย
หลังจากประสบความสำเร็จกับ โวล์ฟสบวร์ก และกลับมาเกิดใหม่อย่างสวยงามอีกครั้ง เดอ บรอยน์ ก็ได้โอกาสกลับมาพิสูจน์ฝีเท้าในศึกพรีเมียร์ลีก อีกครั้ง เมื่อ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือชาวชิลี คุมทีมอยู่ในเวลานั้น ได้ทำการทุ่มเงินถึง 55 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีม ซึ่งก็มีหลายคนมองว่าดีลนี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มหรือไม่ เนื่องจากนักเตะเคยล้มเหลวในพรีเมียร์ลีก มาแล้ว

ทุกคำถามที่ยิงเข้ามาหา “เคดีบี” ว่าเจ้าตัวจะล้มเหลวอีกครั้งหรือไม่ เขาก็สามารถตอบได้หมดด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในสนาม เมื่อเขาระเบิดฟอร์มการเล่นได้อย่างร้อนแรง ยิงไป 16 ประตู กับอีก 13 แอสซิสต์ พาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ และทะยานเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นอกจากนั้นยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของสโมสรได้ถึง 4 ครั้ง อีกด้วย

ผลงานทีมชาติ

เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับทีมชาติเบลเยียม ตั้งแต่ชุดเยาวชน 18 ปี ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับชั้นขึ้นมาเล่นในชุดเยาวชน 19 ปี ตามมาด้วยชุดเยาวชน 21 ปี และจากฝีเท้าอันยอดเยี่ยม และโดดเด่นเกินวัย ทำให้เขาถูกเรียกขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก ในปี 2010 ซึ่งเวลานั้นเจ้าตัวมีอายุเพียง 19 ปี เท่านั้น และเจ้าตัวก็ได้ลงสนามในเสื้อทีมชาติชุดใหญ่ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2010 ในเกมที่ดวลแข้งกับ ฟินแลนด์

โดย ไฮไลท์สำคัญในการรับใช้ชาติของ “เคดีบี” คือการพาทีม ไปคว้าอันดับ 3 ศึกฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการเอาชนะ อังกฤษ 2-0 และจนถึงเวลานี้เขาได้ลงเล่นให้ทีมชาติไปแล้วถึง 78 นัด และยิงไปแล้ว 20 ประตู ด้วยกัน

เกียรติประวัติ

เคอาร์ซี เกงค์ :

  • แชมป์เบลเยียมโปรลีก 2010–11
  • แชมป์เบลเยียมซูเปอร์คัพ 2011

โวล์ฟสบวร์ก :

  • แชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2014–15
  • แชมป์เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ 2015

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ :

  • แชมป์พรีเมียร์ลีก 2017–18, 2018–19
  • แชมป์เอฟเอ คัพ 2018–19
  • แชมป์อีเอฟแอลคัพ 2015–16, 2017–18, 2018–19, 2019-2020
  • แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ชีลด์ 2019

เบลเยียม :

  • อันดับที่สาม ฟุตบอลโลก 2018

สรุป

ก่อนจะมาเริ่มเล่นเข้าฟอร์มได้ในปีถัดมา หลังจากนั้นเขาได้โชว์ฟอร์มเก่งได้ทันที และยังสร้างสรรค์โอกาส ให้เพื่อนร่วมทีมได้มากมายหลายครั้งทั้งการจากบอลที่แม่นย่ำและได้ตัดบอลที่เด็ดขาด จนกลายเป็นกองกลางตัวสำคัญกับทีมชาติเบลเยี่ยมในชุดปัจจุบัน ในปัจจุบันเขาเล่นให้กับ ทีมชาติเบลเยี่ยม

แหล่งที่มา

https://sport.trueid.net

https://mydeedees.com/%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%99-%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%81-%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%b0/